ฝุ่นละออง PM 2.5 ภัยร้ายที่ใกล้ตัว

ฝุ่นละออง PM2.5 อันตรายใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม วิกฤติของประเทศไทยตอนนี้ที่จะไม่หยิบยกมาพูดคงเป็นไปไม่ได้เพราะกำลังเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ และมีประชาชนบางกลุ่มที่เริ่มตื่นตระหนกและเห็นว่าเรื่องปัญหาฝุ่นละอองเป็นพิษในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมไปถึงจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่นี้เป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่เห็นว่าปัญหาฝุ่นนี้กำลังเข้าช่วงวิกฤตมากแค่ไหน ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ทำไมต้องให้ความสำคัญ PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ และเล็กมากจนขนจมูกของเรานั้นไม่สามารถกรองได้ทำให้ฝุ่นเข้าไปข้างในร่างกายได้เต็มๆ เข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และเข้าสู่อวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ ใครที่ภูมิคุ้มกันแย่หน่อยก็จะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่บางคนที่ไม่รู้สึกก็ใช่ว่าฝุ่นไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเพียงแต่ผลที่เกิดตามมาในระยะยาวนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะเจ้าฝุ่นตัวนี้แหละเป็นพาหะที่นำสารอื่นๆ เข้ามาในร่างกายเราด้วย เช่นสารแคดเมียม ปรอท และโลหะหนัก หากเราสูดดมเข้าไปมากเข้าก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งต่างๆ ได้ในอนาคต และยังกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ลดระบบแอนตี้ออกซิแดนท์ รบกวนสมดุลต่างๆ ของร่างกาย และกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งสารอักเสบส่งผลกระทบต่อร่างกาย รู้อย่างนี้แล้วเราจะเริ่มตระหนักถึงภัยเงียบเหล่านี้ได้หรือ แล้วเจ้าฝุ่นที่แสนจะอันตรายและเป็นภัยเงียบนี้ล่ะ เกิดขึ้นจากออะไรทำไมอยู่ดีๆ ก็มาวิกฤตซะอย่างนั้น 

ฝุ่น PM 2.5 นี้เอาจริงๆ หลายๆ ประเทศเคยเผชิญกันมาก่อนหน้าประเทศไทยเราแล้วโดยเฉพาะประเทศจีนเมืองใหญ่ ที่ต้องพบเจอกับมลภาวะอันหนักหน่วงซึ่งสาเหตุของฝุ่นนี้นั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ 2 อย่างคือ

1.แหล่งกำเนิดฝุ่นโดยตรงเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น โรงผลิตไฟฟ้า การคมนาคมขนส่งต่างๆ ควันท่อไอเสียจากรถยนต์ การเผาไม้ทำลายป่า เผาขยะ การเผาไหม้เชื้อเพลิงธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์ ฝุ่นจากการก่อสร้าง และอุตสาหกรรมการผลิต สิ่งเหล่านี้อยู่คู่กับประเทศบ้านเมืองเรามานานแล้ว หากเราไม่ได้จำกัดค่าฝุ่นละอองด้วยความเข้มงวดก็จะทำค่าฝุ่น และมลภาวะมากเกินชั้นบรรยากาศจะรับไหว อย่างเช่นปัจจุบันนี้ และสาเหตุอันดับที่ 

2.การรวมตัวของก๊าซอื่นๆ ในชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) รวมทั้งสารพิษอื่นๆ ที่ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่เดิมฝุ่นเหล่านี้มักจะหายไปเมื่อลมพัดผ่าน แต่วันไหนที่อากาศนิ่ง ไม่ค่อยมีลมพัด ฝุ่นละอองจะไม่ฟุ้งกระจาย ส่งผลให้ระดับความเข้มของฝุ่นในพื้นที่นั้นๆ สูงมากขึ้นจนกลายเป็นระดับที่อันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งจังหวัดที่กำลังได้รับผลกระทบหนักมากคือ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ค่าฝุ่นกลายเป็นสีม่วงเข้าสู่ระดับวิกฤต 

แล้วเราจะรับมือกับวิกฤตธรรมชาตินี้ได้อย่างไรกัน หลักๆ เลยที่เราสามารถป้องกันตนเองจากภัยร้ายนี้ได้คือการสวมหน้ากากอนามัยชนิดN95ที่ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายเพราะสามารถกันฝุ่นได้จริง สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด เพราะป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน มั่นใจได้ว่าเราจะปลอดภัยจากฝุ่น สำหรับคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกอาคารได้ก็แนะนำให้ป้องกันตัวเองด้วยวิธีนี้ก่อน แต่ต้องยอมรับว่าหน้ากากแบบนี้ตอนนี้กำลังขาดตลาด เพราะฉะนั้นอีกหนึ่งแบบที่เราจะแนะนำคือ หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ3ชั้น ที่ชาวไทยเราคุ้นชินกันอย่างดีเพราะสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ และร้านขายยา แต่อาจจะไม่สามารถป้องกันฝุ่นได้ 100% เพราะฉะนั้นควรใช้แล้วทิ้งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หรือถ้าใครไม่อยากเปลืองตังค์ใช้แล้วทิ้งให้ลองใช้ หน้ากากอนามัยแบบผ้าฝ้าย เพราะสามารถใช้แล้วนำไปซักได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังป้องกันได้ไม่มากพอเท่ากับหน้ากากอนามัยชนิด N95 สำหรับบุคคลที่ร่างกายไวต่อมลภาวะและอยู่ในลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว ดังต่อไปนี้ โรคทางเดินหายใจ, โรคเยื่อบุตาอักเสบ, โรคผิวหนัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด แนะนำให้เลี่ยงการออกนอกบ้าน หรืออยู่แต่ภายในอาคารจะดีที่สุด และควรพกหน้ากากอนานัย และเตรียมยาติดตัวเอาไว้หากจำเป็นจะต้องออกนอกบ้านจริงๆ ทางที่ดีควรเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้านก่อนในช่วงที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็ตาม  นอกจากการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากค่าฝุ่นที่เกินมาตรฐานนี้แล้วการช่วยประเทศให้ปลอดฝุ่นได้ก็เป็นสิ่งที่อยากให้หลายคนช่วยกันทำเพื่อให้ประเทศของเรากลับมามีค่าอากาศที่เป็นปกติได้อย่างเดิม แล้วเราจะทำได้ยังไงล่ะ?

1.การงดใช้พาหนะส่วนตัวลง หรืออาจจะเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะดูบ้างในบางวัน

2.ลดการเผาไหม้ในที่แจ้งเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดค่าฝุ่นที่เกินมาตรฐาน 

3.ควบคุมการก่อสร้างให้เกิดฝุ่นน้อยมากที่สุด เราออาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้ค่าฝุ่นในประเทศลดลง 

แต่ถ้าได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือก็อาจจะทำให้ประเทศของเรากลับมามีอากาศที่สดใสได้อีกครั้งเพราะวิธีที่ดีสุด คือ การแก้ที่ต้นเหตุ ดังนั้น มาร่วมด้วยช่วยกันคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับเราทุกคนเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน